Learning Record 2
Monday 22 January 2018
knowledge
Monday 22 January 2018
knowledge
การเรียนการสอนในวันนี้ จากสัปดาห์ที่ผ่านมา อาจารย์ได้มอบหมายงานให้แต่ละกลุ่มไปศึกษาหัวข้อของกลุ่มตนเองมา และวันนี้เพื่อนๆได้ออกมานำเสนองาน
กลุ่มที่ 1 พัฒนาการและคุณลักษณะตามวัยของเด็กปฐมวัย
เด็กสามารถพัฒนาตนเองตามพัฒนาด้านร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคมและสติปัญญาอย่างเหมาะสม อยู่บนพื้นฐานคุณลักษณะพึงประสงค์พัฒนาการตามวัยของเด็กปฐมวัย ที่อยู่ในช่วงอายุ 3-6 ปี ซึ่งในแต่ละช่วงวัยสามารถที่จะเปรียบเทียบได้ว่าเด็กมีพัฒนาการที่ดีขึ้น เช่น การเคลื่อนไหวร่างกาย
อายุ 3 ปี
- กระโดดขึ้นลงอยู่กับที่ได้
- รับลูกบอลด้วยมือและลำตัว
-เดินขึ้นบันไดสลับเท้าได้
- เขียนรูปวงกลมตามแบบได้
- ใช้กรรไกรมือเดียวได้
- รับลูกบอลได้ด้วยมือทั้งสอง
- เดินขึ้น - ลงบันไดสลับเท้าได้
- เขียนรูปสี่เหลี่ยมตามแบบได้
- ตัดกระดาษเป็นเส้นตรงได้
- กระฉับกระเฉงไม่ชอบอยู่เฉย
เด็กอายุ 5 ปี
- เดินขึ้น - ลงบันไดสลับเท้าได้อย่างคล่องแคล่ว
- เขียนรูปสามเหลี่ยมตามแบบได้
- ตัดกระดาษตามแนวเส้นโค้งที่กำหนด
- ใช้กล้ามเนื้อเล็กได้ดี เช่น ติดกระดุม ผูกเชือกรองเท้า ฯลฯ
- ยืดตัว คล่องแคล่ว
ความต้องการของเด็กปฐมวัย
-เดินขึ้นบันไดสลับเท้าได้
- เขียนรูปวงกลมตามแบบได้
- ใช้กรรไกรมือเดียวได้
อายุ 4 ปี
- กระโดดขาเดียวอยู่กับที่ได้- รับลูกบอลได้ด้วยมือทั้งสอง
- เดินขึ้น - ลงบันไดสลับเท้าได้
- เขียนรูปสี่เหลี่ยมตามแบบได้
- ตัดกระดาษเป็นเส้นตรงได้
- กระฉับกระเฉงไม่ชอบอยู่เฉย
เด็กอายุ 5 ปี
- กระโดดขาเดียวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องได้
- รับลูกบอลที่กระดอนขึ้นจากพื้นได้ด้วยมือทั้งสอง- เดินขึ้น - ลงบันไดสลับเท้าได้อย่างคล่องแคล่ว
- เขียนรูปสามเหลี่ยมตามแบบได้
- ตัดกระดาษตามแนวเส้นโค้งที่กำหนด
- ใช้กล้ามเนื้อเล็กได้ดี เช่น ติดกระดุม ผูกเชือกรองเท้า ฯลฯ
- ยืดตัว คล่องแคล่ว
กลุ่มที่ 2 ความสนในและความต้องการของเด็กปฐมวัย
เด็กปฐมวัยเป็นวัยเริ่มต้นของชีวิตที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาความเป็นมนุษย์ การสร้างรากฐานที่ดีทั้งทางร่างกาย และจิตใจให้กับเด็กในวันนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะช่วงอายุแรกเกิด ถึง6 ปีเป็นระยะที่มีความสำคัญช่วงหนึ่งในการวางรากฐานคุณภาพชีวิตของเด็ก ด้วยเหตุที่เด็กปฐมวัยมีธรรมชาติและลักษณะเฉพาะที่แตกต่างไปจากบุคคลวัยอื่น ๆ
- ความต้องการพื้นฐานทางกาย เพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่
- ความต้องการความอิสระ ควบคู่ไปกับความต้องการพื้นฐานทางกาย
- ความต้องการผลสัมฤทธิ์ มักจะต้องการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทั้งสิ้น
- ความต้องการประสบการณ์ที่ท้าทาย
- ความต้องการมีเพื่อน เด็กปฐมวัยส่วนใหญ่ชอบอยู่ใกล้ชิดกับผู้อื่น
ความสนใจของเด็กปฐมวัย
สิ่งที่เด็กปฐมวัยสนใจนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ตัวของเด็กนั่นเอง ที่เป็นเช่นนี้ เพราะเด็กปฐมวัยยังมีลักษณะของการยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง นอกจากนี้ ช่วงเวลาของความสนใจของเด็กปฐมวัยจะค่อนข้างสั้น โดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 2 – 3 นาที จึงเห็นได้ว่าเด็กในวัยนี้ชอบที่จะเปลี่ยนกิจกรรมอยู่ตลอดเวลา
กลุ่มที่ 3 การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
การเรียนรู้ หมายถึง การเปลี่ยนพฤติกรรมซึ่งเป็นผลมาจากประสบการณ์ที่คนเรามีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม หรือจากการฝึกหัด รวมทั้งการเปลี่ยนปริมาณความรู้ของผู้เรียน มีองค์ประกอบ 3 อย่าง คือ 1) มนุษย์ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจาก “ไม่รู้” เป็น “รู้” “ทำไม่ได้” เป็น “ทำได้” “ไม่เคยทำ” เป็น “ทำ” 2) การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมนั้นต้องเป็นไปอย่างถาวร 3) การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนั้น เกิดจากประสบการณ์การฝึกฝนและการฝึกหัด ไม่ใช่จากเหตุอื่นๆนอกจากนั้น
1.ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของไวกอสกี้
กล่าวว่า เด็กจะเกิดการเรียนรู้ พัฒนาสติปัญญาและทัศนคติเมื่อมีการปฏิสัมพันธ์และทำงานร่วมกับผู้อื่น หากเด็กต้องเผชิญกับปัญหาที่ท้าทายแต่ไม่สามารถคิดแก้ปัญหาโดยลำพัง แต่ถ้าได้รับการช่วยเหลือแนะนำจากผู้ใหญ่หรือเพื่อนที่มีประสบการณ์มาก่อน เด็กจะสามารถแก้ปัญหานั้นและจะเกิดการเรียนรู้ได้
2.ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของบรูเนอร์
เชื่อว่า ครูสามารถจัดประสบการณ์ให้กับเด็กปฐมวัยเพื่อให้เด็กเกิดความพร้อมที่จะเรียนได้ โดยต้องคำนึงถึงทฤษฎีพัฒนาการว่าเป็นตัวเชื่อมระหว่างความรู้และการสอน กล่าวคือพัฒนาการจะเป็นตัวกำหนดเนื้อหาความรู้และวิธีการสอน หรือกิจกรรมการเรียนการสอนต้องสอดคล้องกับพัฒนาการและความสามารถของเด็กเป็นหลัก จึงได้แบ่งขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัยออกเป็น 3 ขั้นตอน
1. ขั้นการเรียนรู้ด้วยการกระทำ
2. ขั้นการเรียนรู้ด้วยภาพและจินตนาการ
3. ขั้นการเรียนรู้ด้วยสัญลักษณ์
เพียเจท์ กล่าวถึง การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดจากการทำงานของโครงสร้างทางปัญญา เป็นวิธีที่เด็กจะเริ่มต้นด้วยความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับสิ่งแวดล้อม เพียเจท์ได้มองการเล่นเป็นกระบวนการพัฒนาทางสติปัญญา ซึ่งกระบวนการพัฒนาทางสติปัญญา และลักษณะของการเล่นนั้น จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพียเจท์ได้แบ่งพัฒนาการทางสติปัญญาออกเป็น 4 ขั้น
1. ขั้นประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหว
2. ขั้นความคิดก่อนปฏิบัติการ
3. ขั้นปฏิบัติการคิดแบบรูปธรรม
4. ขั้นปฏิบัติการคิดแบบนามธรรม
กลุ่มที่ 4 รูปแบบการเรียนรู้นวัตกรรมการสอนแบบโครงการ
แนวคิดที่มีอิทธิพลต่อการสอนแบบโครงการ
แนวคิดที่จะให้เด็กเรียนรู้ผานโครงการนั ่ ้นมีมานานนับศตวรรษ เริ่มจากความเคลื่อนไหวของ
นักการศึกษากลุ่มพิพัฒนนิยม (Progressive) ในประเทศสหรัฐอเมริกาช่วงศตวรรษที่ 19 – 20
จอห์น ดุย (John Dewey) ได้เขียนบทความและหนังสือหลายเล่มเกี่ยวกบการสร้างประสบการณ์ทาง
การศึกษา ที่จะช่วยส่งเสริมให้เด็กเกิดความตระหนักในชุมชนร่วมกน และได้นําโครงการเข้าไปใช้ ั
ในโรงเรียนทดลองที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ส่วนวิลเลี่ยม คิลแพทริก (William Kilpatrick) ได้ให้ความรู้
แก่บุคคลต่างๆ ที่ต่อมาได้เป็ นนักการศึกษา ถึงวิธีการใช้โครงการที่เกี่ยวข้องกบประสบการณ์ในชีวิต ั
จริง อันเป็ นรากฐานสําคัญทางการศึกษามากกวาการเตรียมตัวเด็กเพื่อชีวิตในอนาคต ่ (Diffil6,1996)
ในปี ค.ศ. 1943 ลูซี่ สปราค มิทเซลล์ (Lucy Spraque Mitchell) ได้นํานักศึกษาของวิทยาลัย
การศึกษาแบงกสตรีท ์ (The Bank Street College of Education) นครนิวยอร์ก ออกศึกษาสิ่งแวดล้อม
และได้สอนครูให้รู้จักวิธีการใช้โครงการวิธีสอนที่พัฒนาโดยวิทยาลัยการศึกษาแบงกสตรีทนี ์ ้มีส่วน
คล้ายคลึงอยางมากก ่ บการสอ ั นแบบโครงการ (Diffily, 1996)
นอกจากนี้การสอนแบบโครงการทําให้หลายคนนึกถึงรายงานฉบับหนึ่งในประเทศอังกฤษ
ในช่วงปลายปี ค.ศ. 1960 ถึงต้นปี ค.ศ. 1970 ซึ่งมีชื่อวา ่ “ Plowden Report” บางครั้งนักการศึกษาชาว
อังกฤษจะเรียกอีกชื่อวา ่ “ หลักสูตรบูรณาการ ” “ การศึกษาอยางไม ่ ่เป็ นทางการ” เป็ นต้นใน
รายงานพลาวเดน (Plowden Report) ได้กล่าวเน้นอยางเด ่ ่นชัดวาการเรียนรู้ที่จะให้ผลนั ่ ้นต้องมาจาก
ความสนใจของผู้เรียนมากกวาความสนใจของครู ปรัชญาและแนวการปฏิบัติของพลาวเดนมีส ่ ่วนที่
คล้ายคลึงกนมากก ั บการเคลื่อนไหวของกลุ ั ่มพิพัฒนนิยมในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ.1920
และการศึกษาแบบเปิ ด (Open Education ) ในประเทศแถบอเมริกาเหนือคือให้ผู้เรียนมีความ
กระตือรือร้นที่จะร่วมในโครงการมีประสบการณ์ตรงกบสิ ั ่งแวดล้อม เรียนรู้จากการกระทํา เช่น
เดียวกบการเล ั ่นอยางเป็ นธรรมชาติของเด็กขณะเล ่ ่นสํารวจวัตถุสิ่งของ หรือมีปฏิสัมพันธ์กบบุคคลอื่น ั
(Katz and Chard, 1995)
ในประเทศอิตาลี ช่วงเวลา 30 ปี ที่ผานมาครูโรงเรียนก ่ ่อนประถมศึกษาเมืองเรกจิโอ เอมิเลีย
ได้ประสบผลสําเร็จในการนําโครงการเข้าไปใช้กบเด็กปฐมวัย ั แต่ละลักษณะโครงการส่วนใหญ่โน้ม
เอียงไปทางการเรียนรู้บทบาทของภาษากราฟฟิ กค์(เขียนภาพเป็ นลายเส้น) และข้อมูลที่ขยายการเรียน
ของเด็กผานโครงการรวมทัั้งบทบาทของครูและพ่อแม่เด็กในงานโครงการ (Helm, 1996)
5ส่วนแคทซ์และชาร์ด (Katz and chard, 1995) ได้ให้เหตุผลของการที่ครูนําการสอนแบบ
โครงการมาใช้อยางแพร ่ ่หลาย ดังต่อไปนี้ อันเป็ นรากฐานสําคัญทางการศึกษามากกวาการเตรียมตัว
เด็กเพื่อชีวิตในอนาคต (Diffily, 1996)
1. งานวิจัยจํานวนมากที่เกี่ยวกับพัฒนาการเด็กและการเรียนรู้ในช่วง 20 ปี ที่ผานมานี้สนับสนุนการสอนแบบโครงการ เป็นวิถีทางที่เหมาะสมสําหรับการกระตุ้นและส่งเสริมพัฒนาการ
ทางด้านวิชาการของเด็ก
2. ไม่มีสิ่งบ่งชี้วาการสอนแบบโครงการมีผลเสีย และเสี่ยงต่อการพัฒนาสติปัญญาหรือ
พัฒนาการทางด้านวิชาการของเด็ก
3. การเสนอให้นําโครงการมาใช้ในการสอนเป็ นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตรเท่านั้น ช่วงเวลา
ส่วนใหญ่ที่เด็กเรียนรู้ตามหลักสูตรปฐมวัยศึกษาคือ การเล่นที่เป็ นตามธรรมชาติอยูแล้วเมื่อเด็กโตขึ้น
หลักสูตรจึงจะเพิ่มการสอนที่เป็ นทางการยิงขึ้น ดังนั้นโครงการจึงเหมาะกบหลักสูตรสําหรับเด็กปฐมวัยและเด็กประถม
ประโยชน์ของการสอนแบบโครงการ
1. ช่วยให้เด็กมีโอกาสที่จะประยุกต์ใช้ทักษะที่มีอยู และเพิ่มความชํานาญในทักษะนั้นยิงขึ ่ ้น
2. แสดงให้เห็นถึงความสามารถและความถนัดของเด็ก
3. แสดงให้เห็นแรงจูงใจภายใน และความสนใจที่เกิดจากตัวเด็กในงานและกิจกรรมที่ทํา
4. ส่งเสริมให้เด็กรู้จักตัดสินใจวาควรทําอะไร และผู้ใหญ ่ ่ยอมรับในความต้องการของเด็ก
โดยที่เด็กมีความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเอง มีครูเป็ นผู้ให้คําแนะนํา และเด็กเป็ นผู้
ตัดสินใจลงมือทําด้วยตัวเด็กเอง (Katz, 1994 ;Katz and Chard, 1995)กระบวนการ
โครงการถือเป็ นตัวอยางที่ดีของการเรียนรู้ที่เต็มไปด้วยความหมายเหมาะก ่ บพัฒนาการเด็ก ั
เป็นการศึกษาอยางลึกในช ่ ่วงเวลาที่ขยายได้ตามความสนใจของเด็กแต่ละคน แต่ละกลุ่มยอย หรือแต ่ ่
ละชั้นและตามแต่หัวเรื่องที่ต้องการศึกษา ในหนังสือ Project Approach : A Practical Guide for
Teachers ของ Sylvia C. Chard (1992,1994) ได้กล่าวถึงลักษณะโครงสร้างของการปฏิบัติโครงการ
ไว้ 5 ข้อ คือ
1. การอภิปรายกล่มุ ในงานโครงการครูสามารถแนะนําการเรียนรู้ให้เด็ก และช่วยให้เด็กแต่ละ
คนมีโอกาสแลกเปลี่ยนสิ่งที่ตนทํากบเพื่อน การพบปะสนทนากันในกลุ่มยอยหรือกลุ่มใหญ่
ทั้งชั้น ทําให้เด็กมีโอกาสที่จะอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกนและกัน
2. การศึกษานอกสถานที่หรืองานในภาคสนาม ถือเป็นกระบวนการที่สําคัญของการทําโครงการ สําหรับเด็กปฐมวัยไม่จําเป็ นต้องเสียเงินเป็ นจํานวนมากเพื่อพาเด็กไปยังสถานที่ไกลๆ ประสบการณ์ในระยะแรกครูอาจพาไปศึกษานอกห้องเรียน เรียนรู้สิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่อยู่รอบบริเวณโรงเรียน เช่น ร้านค้า ถนนหนทาง ป้ ายสัญญาณงานบริการต่างๆ ฯลฯ จะช่วยให้เด็กเข้าใจโลกที่แวดล้อม มีโอกาสพบปะกบบุคคลที่มีความรู้เชี่ยวชาญในหัวเรื่องที่เด็กสนใจ ซึ่งถือเป็ นประสบการณ์เรียนรู้ขั้นแรกของงานศึกษาค้นคว้า
3. การนําเสนอประสบการณ์เดิม เด็กสามารถที่จะทบทวนประสบการณ์ในหัวเรื่องที่ตนสนใจมี
การอภิปราย แสดงความคิดเห็นในประสบการณ์ที่เหมือนหรือแตกต่างกบเพื่อน รวมทั้งแสดงคําถามที่ต้องการสืบค้นในหัวเรื่องนั้นๆ นอกจากนี้เด็กแต่ละคนเสมือนเป็ นการพัฒนาทักษะเบื้องต้น ไม่วาจะเป็ นการวาดภาพ การเขียน การใช้สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ การเล่นบทบาทสมมติ และการก่อสร้างแบบต่างๆ
4. การสืบค้น งานโครงการเปิ ดกว้างให้ใช้แหล่งค้นคว้าข้อมูลอยางหลากหลายตามหัวเรื่องที่ ่
สนใจ เด็กสามารถสัมภาษณ์พ่อแม่ผู้ปกครองของตนเอง บุคคลในครอบครัว เพื่อนนอก
โรงเรียน สามารถหาคําตอบด้วยการศึกษานอกสถานที่ สัมภาษณ์วิทยากรท้องถิ่
นที่มีความ
รอบรู้ในหัวเรื่อง อาจสํารวจวิเคราะห์วัตถุสิ่งของด้วยตนเอง เขียนโครงร่าง หรือใช้แวนขยาย
ส่องดูวัตถุต่างๆ หรืออาจใช้หนังสือในชั้นเรียนหรือในห้องสมุดทําการค้นคว้า
5. การจัดแสดง ทําได้หลายรูปแบบอาจใช้ฝาผนังหรือป้ ายจัดแสดงงานของเด็ก เป็ นการ
แลกเปลี่ยนความคิด ความรู้ที่ได้จากการสืบค้นแก่เพื่อนในชั้น ครูสามารถให้เด็กในชั้นได้
รับทราบความกาวหน้าในการสืบค้นโดยจัดให้มีการอภิปราย หรือการจัดแสดง ทั้งจะเป็ นโอกาสให้เด็กและครูได้เล่าเรื่องงานโครงการที่ทําแก่ผู้มาเยี่ยมเยียนโรงเรียนอีกด้วย 7ลักษณะทั้ง 5 ประการของโครงสร้างที่กล่าวมานี้ เด็กจะเรียนรู้ในแต่ละระยะของงาน
โครงการ ซึ่งมีออยู่ระืยะ(Katz, 1994 Katz and Chard, 1995)
ระยะที่ 1 ทบทวนความร้และความสนใจเด็กเด็กและครูใช้เวลาส่วนใหญ่ในการอภิปรายเพื่อเลือกและปรับหัวเรื่องที่จะทําการสืบค้น
หัวเรื่องอาจเสนอโดยเด็ก ครู หรือครูและเด็กร่วมกน โดยใช้หลักในการเลือกหัวเรื่อง ดังนี้
1. เลือกหัวเรื่องที่เกี่ยวกบประสบการณ์ที่เด็กมีอยู ั ทุกวัน อย่างน้อยเด็กประมาณ ่ 2 – 3 คนควรจะคุ้นเคยกบหัวเรื่อง และจะช ่วยในการตั้งประเด็นคําถามเกี่ยวกบหัวเรื่อง
2. เลือกหัวเรื่องที่มีคุณค่าสําหรับการเรียนรู้ของเด็ก และมีแหล่งข้อมูลในท้องถิ่นเพียงพอที่จะให้เด็กทําโครงการ
3. ทักษะพื้นฐานทางการรู้หนังสือและจํานวน ควรบูรณาการอยูในหัวเรื่องที่ทําโครงการ รวมทั้งวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และภาษา เช่น การถามคําถาม การนับ การทํากราฟการสังเกต การสเกตซ์ภาพ การสังเกตด้วยการวาด ็ ภาพ การสร้าง การปั้น การประดิษฐ์
4. หัวเรื่องที่เลือกควรใช้เวลาทําโครงการได้อยางน้อย ่ 1 สัปดาห์และเหมาะที่จะทําการสํารวจ ค้นคว้าที่โรงเรียนมากกวาที่บ้านเมื่อได้หัวเรื่องแล้วครูควรเริ่มทําแผนที่ทางความคิด (mind map ) หรือใยแมงมุม ( Web ) เพื่อระดมความคิดร่วมกบเด็กในหัวเรื่องนะจัดแสดงแผนที่ทางความคิดที่ทําไว้ภายในชั้นเรียน ข้อมูลต่างๆที่ได้สามารถใช้ในการสรุป อภิปรายระหวางทําโครงการ และยังสามารถเชื่อมโยง ่ ไปยังหัวเรื่องยอยได้อีก นอกจากนี ่ ้ในช่วงอภิปรายระดมความคิดครูจะทราบวาเด็กมีประสบการณ์ใ ่ นหัวเรื่องเพียงใด ตามความเหมาะสมของวัย เช่น เด็กปฐมวัยอาจใช้การเขียนภาพ เล่นบทบาทสมมติ ฯลฯ ครูจะเป็นผู้ช่วยให้เด็กเสนอคําถามที่ต้องการสืบค้นหาคําตอบ จดหมายเกี่ยวกบหัวเรื่องที่จะสืบค้นถูก
ส่งไปยังบ้านของเด็ก ครูจะเป็ นผู้กระตุ้นให้พ่อแม่พูดกบเด็กเกี่ยวกบหัวเรื่อง เพื่อแลกเปลี่ยน ั
ประสบการณ์ ครุจะชี้แนะวิธีสืบค้นเพื่อให้เด็กแต่ละคนได้ทํางานตามศักยภาพโดยใช้ทักษะพื้นฐาน
ทางการสร้าง การวาดภาพ ดนตรี และบทบาทสมมติ
ระยะที่ 2 ให้โอกาสเด็กค้นคว้าและมีประสบการณ์ใหม่
เป็นงานในภาคสนาม ประกอบด้วยการสืบค้นตามแหล่งข้อมูลต่างๆ ระยะนี้ถือเป็ นหัวใจของ
โครงการ ครูจะเป็ นผู้จัดหา จัดเตรียมแหล่งข้อมูลให้เด็กสืบค้น ไม่วาจะเป็ นของจริง หนังสือ วัสดุ ่
อุปกรณ์ต่างๆ หรือแม้แต่การออกไปศึกษานอกสถานที่หรือนัดหมายผู้เชี่ยวชาญ วิทยากรท้องถิ่น
เพื่อให้เด็กทําการสืบค้นสังเกตอยาง่ ใกล้ชิด และบันทึกสิ่งที่พบเห็นอาจมีการเขียนภาพที่เกิดจาการ
สังเกต จัดทํากราฟ แผนภูมิไดอะแกรม หรือสร้างแบบต่างๆ สํารวจ คาดคะเน มีการอภิปราย เล่น
บทบาทสมมติเพื่อแสดงความเข้าใจในความรู้ใหม่ที่ได้ (Katz,1994)
ระยะที่ 3 ประเมิน สะท้อนกลับ และแลกเปลี่ยนงานโครงการ
เป็นระยะสรุปเหตุการณ์ รวมถึงการเตรียมการเสนอรายงานและผลที่ได้ในรูปของการจัด
แสดง การค้นพบ และจัดทําสิ่งต่างๆ สนทนา เล่นบทบาทสมมติหรือจัดนําชมสิ่งที่ได้จากการ
ก่อสร้าง ครูจะจัดให้เด็กได้แลกเปลี่ยนสิ่งที่ตนเรียนรู้กบผู้อื่นเด็กสามารถช่วยกนเล่าเรื่องการทํา
โครงการให้ผู้อื่นฟัง โดยจัดแสดงสิ่งที่เป็ นจุดเด่นให้เพื่อนในชั้นเรียนอื่น ครู พ่อแม่ ผู้ปกครอง และ
ผู้บริหารได้เห็น ครูจะช่วยเด็กเลือกวัสดุอุปกรณ์ที่จะนํามาแสดง ซึ่งการทําเช่นนี้เท่ากบชั ่วยให้เด็ก
ทบทวนและประเมินโครงการทั้งหมด ครูอาจเสนอให้เด็กได้จินตนาการความรู้ใหม่ที่ได้ ผานทาง
ศิลปะ ทางละคร สุดท้ายครูนําความคิดและความสนใจของเด็กไปสู่การสรุปโครงการและอาจ
นําไปสู่หัวเรื่องใหม่ของโครงการต่อไป (Katz,1994)
บทสรุป
การสอนแบบโครงการ เป็นการสอนวิธีหนึ่งในหลายๆวิธีที่มีอยู ทําให้เด็กเกิดการเรียนรู้ ช่วย
บูรณาการความรู้ ทักษะ และนําเสนออยางเป็ นทางการในห้องเรียน เด็กได้ประยุกต์และใช้สิ ่ ่งที่ตน
เรียนรู้ แกปัญหา และเปลี่ยนสิ่งที่ทราบ พัฒนาทักษะการทํางานร่วมกบผู้อื่นและท้าทายให้เด็กคิด ั
เป็ นการสนับสนุนพัฒนาการเด็กทางด้านสมอง เด็กมักจะมีคําถามของตนเองและสนใจที่จะเรียนรู้ใช้
แหล่งข้อมูลต่างๆ รวมทั้งตัวครูในการหาคําตอบ ครูควรจะรับฟังสิ่งที่เด็กพูดและสิ่งที่เด็กถามอยาง่
จริงใจ ผลสําเร็จของการทําโครงการจึงขึ้นอยูก่ บประสบการณ์เดิม สิ่งแวดล้อม ความสนใจและ
ความอยากรู้อยากเห็นของเด็กเป็ นอยางมาก การสอนแบบโครงการน่าจะเป็ นหนทางหนึ่งสําหรับครู
ที่จะสนับสนุนให้เด็กได้เรียนรู้อยางกระตือรือร้นอย ่ างมีความหมายต ่ ่อเด็ก และนําครูไปสู่การสอนที่มี
ประสิทธิภาพได้ทางหนึ่ง
เพื่อนๆแตะละกลุ่มนำเสนองาน
Adopt
- การเรียนู้สำหรับเด็กปฐมวัยนั้นมีรูปแบบหลากหลายแบบ พ่อแม่ผู้ปกครองมักจะเน้นการอ่านออกเขียนได้ มากกว่าการเรียนไปตามพัฒนากการของเด็กปฐมวัย ซึ่งในปัจจุบันมีโรงเรียนที่เปิดสอนเด็กปฐมวัยจำนวนมาก นำความรูปแแบบการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยไปปรับใช้สอนที่โรงเรียน
Self Assessment : จดบันทึกเพิ่มเติม เมื่ออาจารย์อธิบายหรือยกตัวอย่าง
Evaluate friends : ตั้งใจดี เมื่ออาจารย์ถามทุกคนก็ช่วยกันตอบ
Teacher Evaluation : อาจารย์อธิบายละเอียดดี ชอบที่อาจารย์มีถำถาม ทำให้เราได้ฝึกคิดวิเคราะห์อยู่บ่อยๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น