Adorable Cake Smiley
Delcious Icecream
Cute Unicorn

วันอังคารที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2561

Learning Record 3

Monday 29 January 2018



knowledge 

            วันนี้อาจารย์ได้ทบทวนความรู้เดิมหัวข้อในประเด็นต่างๆ เช่น การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย พัฒนาการของเด็กปฐมวัย การจัดประสบการณ์เรียนรู้ของเด็กปฐมวัย  เป็นต้น เพื่อให้นักศึกษามีความรู้ นำความรู้ไปต่อยอดในการจัดประสบการณ์เรียนรู้ได้อย่างถูกต้อง 

           สำหรับกิจกรรมสุดท้ายวันนี้คือ อาจารย์ได้ให้นักศึกษาแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน เพื่อทำ 
mind map เพื่อให้ช่วยกันระดมความคิดหน่วยการรู้ที่จะสอนในหนึ่งสัปดาห์




การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เหมาะสมสำหรับเด็กปฐมวัย


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปแบบการจัดประสบการณ์การเรียนรู้
      

      การจัดการศึกษาปฐมวัยเป็นการจัดการอบรมเลี้ยงดูและส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่สนองต่อธรรมชาติและพัฒนาการของเด็ก ให้เด็กมีพัฒนาการทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาที่เหมาะสมกับวัย ความสามารถและความแตกต่างระหว่างบุคคล เป็นการสร้างรากฐานชีวิตให้เด็กพัฒนาไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ มีคุณค่าต่อตนเองและสังคม ตามปรัชญาการศึกษาปฐมวัย ของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546



หลักการจัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัย

        การจัดประสบการณ์สำหรับเด็กปฐมวัยตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย จะต้องจัดในรูปของกิจกรรมบูรณาการผ่านการเล่น โดยที่การเล่นดังกล่าวต้องไม่ใช่การเล่นโดยไม่มีจุดมุ่งหมาย และไม่ใช่การยัดเยียดเนื้อหาของระดับประถมศึกษาให้แก่เด็ก การจัดประสบการณ์ที่เหมาะสมสำหรับเด็กปฐมวัย ครูจะต้องเข้าใจการเรียนรู้ที่เด็ก และสร้างเสริมประสบการณ์และธรรมชาติการเรียนรู้ให้แก่เด็ก ดังหลักการสำคัญในการจัดประสบการณ์สำหรับเด็กปฐมวัยตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 ดังนี้

1. จัดประสบการณ์การเล่นและการเรียนรู้เพื่อพัฒนาเด็กโดยองค์รวมอย่างต่อเนื่อง
2. เน้นเด็กเป็นสำคัญ สนองความต้องการ ความสนใจ ความแตกต่างระหว่างบุคคลและบริบทของสังคมที่เด็กอาศัยอยู่
3. จัดให้เด็กได้รับการพัฒนาโดยให้ความสำคัญทั้งกับกระบวนการและผลผลิต
4. จัดการประเมินพัฒนาการให้เป็นกระบวนการอย่างต่อเนื่องและเป็นส่วนหนึ่งของการจัดประสบการณ์
5. ให้ผู้ปกครองและชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็ก

การจัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยที่สอดคล้องกับหลักการทำงานของสมอง

        สมองของเด็กเล็กได้รับความสนใจในช่วงประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา เราได้เรียนรู้ว่าสมองถูกออกแบบมาเพื่อการเรียนรู้ คำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องของสมองของเด็กเล็กชี้ชัดว่าการเชื่อมต่อของเซลส์สมองของเด็กปฐมวัยมีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว เครือข่ายเซลส์สมองที่เชื่อมต่อกันนี้มีความสำคัญมากต่อการเรียนรู้ ประสบการณ์ต่างๆ ที่เด็กได้รับจะถูกป้อนเข้าสู่สมองของเด็ก และเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเชื่อมต่อของเส้นใยประสาท เส้นใยประสาทและจุดเชื่อมต่อที่ทำงานอยู่เสมอจะมีการสร้างไขมันล้อมรอบ (Myelinization) ทำให้การเคลื่อนไหวของกระแสไฟฟ้าในเส้นใยประสาทเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ และเป็นการป้องกันไม่ให้เครือข่ายเส้นใยประสาทถูกกำจัดไป ดังนั้น การที่จะทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ จึงต้องให้เด็กได้รับประสบการณ์ต่างๆ อย่างเหมาะสม โดยการจัดการเรียนรู้บนฐานของหลักการเรียนรู้ของสมองและจิต (Caine and Caine, 2002) ดังนี้

1. สมองสามารถทำงานได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน (A parallel processor) และการเรียนรู้เกี่ยวข้องกับสรีระทั้งหมดของร่างกาย สมองทำงานเป็นระบบซึ่งเป็นองค์รวม (A whole system) จะไม่แยกเรียนรู้เฉพาะทีละส่วน การจัดการศึกษาจึงต้องไม่จัดโดยแยกเป็นส่วนๆให้สอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์

2. ในช่วงแรกของชีวิตสมองเติบโตอย่างรวดเร็วมาก การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของสมองเกิดจากการที่บุคคลมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม มนุษย์แต่ละคนเป็นส่วนหนึ่งในสังคม ดังนั้น ความสัมพันธ์ทางสังคมจึงมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้

3. มนุษย์มีความต้องการพื้นฐานตามธรรมชาติในการค้นหาความหมายของสิ่งต่างๆ ดังนั้น จึงต้องตอบสนองต่อความต้องการค้นหาความหมายด้วยการได้สำรวจและเรียนรู้สิ่งต่างๆ

4. สมองจะทั้งรับรู้และทำความเข้าใจรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้น แต่สมองจะสร้างและแสดงออกด้วยรูปแบบของตัวเอง ดังนั้น การจัดการศึกษาจึงต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้กำหนดรูปแบบในการเรียนรู้และทำความเข้าใจของตนเอง

5. อารมณ์มีผลต่อรูปแบบการเรียนรู้ อารมณ์และการเรียนรู้เป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้ ดังนั้น บรรยากาศที่เหมาะสมจึงเอื้อให้เกิดการเรียนรู้

6. สมองทั้งสองซีกจะทำงานอย่างสัมพันธ์กันในทุกๆ กิจกรรม ซึ่งทำให้เราได้รู้ว่าสมองจะทำการแบ่งข้อมูลออกเป็นส่วนๆ และทำความเข้าใจโดยภาพรวม ดังนั้น การจัดการศึกษาที่ดีต้องตระหนักถึงข้อนี้ โดยการให้เรียนรู้เป็นภาพรวมและส่วนย่อย

7. การเรียนรู้ประกอบด้วยจุดสนใจหลักและรับรู้สิ่งต่างๆรอบตัวไปพร้อมๆ กัน ดังนั้น ในการจัดการศึกษาจึงจำเป็นต้องใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้ในทุกแง่มุม

8. การเรียนรู้เป็นไปโดยที่เกิดความตระหนักในสิ่งที่กำลังเรียนรู้และไม่ได้ตระหนักว่าเกิดการเรียนรู้ การเรียนรู้อาจไม่ได้เกิดขึ้นอย่างทันทีแต่ต้องใช้เวลาที่ค่อยๆเกิดขึ้น ดังนั้น การจัดการศึกษาจึงต้องออกแบบให้เอื้อให้ผู้เรียนได้ค่อยๆต่อเติมแนวคิด ทักษะ และประสบการณ์ จนกระทั่งเกิดความเข้าใจและเรียนรู้

9. มนุษย์มีวิธีจัดระบบความจำ 2 แบบที่สำคัญ คือ ระบบการจำเป็นมิติ และการท่องจำ การเรียนรู้ที่อย่างมีความหมายต่อผู้เรียนจะเกิดจากระบบความจำทั้งสองแบบนี้ ดังนั้น การเรียนรู้จะเกิดจากสิ่งที่มีความหมายต่อผู้เรียน 

10. ในช่วงต้นของชีวิต สมองจะมีการเติบโตอย่างรวดเร็วมากซึ่งมีลักษณะของ Hard wiring มีการสร้างเส้นใยประสาท และจุดเชื่อมต่อมากมาย ซึ่งมีช่วงของการเรียนรู้ที่เหมาะสมในเรื่องต่างๆ (Windows of opportunity) แต่อย่างไรก็ตาม สมองก็ไม่ได้จำกัดหรือหยุดการเจริญเติบโต มนุษย์จึงสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต ดังนั้น จึงควรจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับ Windows of opportunity และส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต

11. ความท้าทายจะช่วยกระตุ้นให้ต้องการเรียนรู้ ส่วนความกลัวจะยับยั้งการเรียนรู้ ดังนั้น การเรียนรู้จะเกิดขึ้นในบรรยากาศที่ปราศจากความกลัว และมีความท้าทายให้ต้องการเรียนรู้


12. มนุษย์ทุกคนมีสมอง แต่สมองของแต่ละคนล้วนแตกต่างกัน ซึ่งเกิดจากพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ดังนั้น แต่ละคนจึงมีแบบแผนของการเรียนรู้ (Learning Style) ความสามารถ และเชาว์ปัญญาที่แตกต่างกัน


คัดลอกจาก : http://www.nareumon.com/index.php?option=com_content&task=view&id=19&Itemid=50&limit=1&limitstart=1












กลุ่มที่ 1 หน่วยใต้ร่มเงาไม้





กลุ่มที่ 2 หน่วยผลไม้เพื่อสุขภาพ





กลุ่มที่ 3 หน่วยผีเสื้อ




กลุ่มที่ 4 หน่วยตัวฉัน





กลุ่มที่ 5 หน่วยบ้านแสนรัก




กลุ่มที่ 5 หน่วยอาหารดีมีคุณค่า






ก่อนเข้าสู่การทำกิจกรรม อาจารย์ได้ทบทวนความรู้เดิม 
เพื่อในักศึกษาได้แม่นยำในเนื้อหา















เพื่อนๆกลุ่มดิฉันช่วยกันระดมความคิดทำ mild map





อาจารย์ได้ให้ข้อเสนอแนะในการทำ mild map เพื่อแก้ไข ปรับปรุงให้ดี





การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้

-  การจัดการเรียนการสอนในระดับปฐมวัยยึดหลักการบูรณาการที่ว่า หนึ่งแนวคิดเด็กสามารถเรียนรู้ได้หลายกิจกรรม หนึ่งกิจกรรมสามารถเรียนรู้ได้หลายทักษะและหลายประสบการณ์สำคัญ การจัดประสบการณ์ให้กับเด็กปฐมวัย จึงควรศึกษาก่อนว่าทักษะ สาระการเรียนรู้ หรือประสบการณ์สำคัญใดที่จะจัดให้กับเด็ก แล้วจึงวางแผนการจัดกิจกรรมต่อไป
        การที่เด็กได้เรียนรู้ผ่านการทำกิจกรรมที่หลากหลายช่วยให้เกิดการตกผลึกทางความคิด และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ความรู้ที่ได้ไม่ลบเลือนไปโดยง่าย การนำสาระการเรียนรู้และทักษะต่างๆ ที่ต้องการให้เด็กฝึกฝนมาเชื่อมโยงไว้ในการสอน การใช้แหล่งเรียนรู้รอบตัว สื่อมีความหลากหลายมีความเพียงพอกับความต้องการของเด็ก และการจัดกิจกรรมที่มีความยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับกลุ่มเด็กและสภาพแวดล้อม โดยมุ่งให้เกิดประโยชน์แก่เด็กมากที่สุด




Adopt
Self assessment : สำหรับการเรียนในวันนี้ก็พยายามตั้งใจฟังที่อาจารย์อธิบาย คิดวิเคราะห์ บางคำถามที่อาจารย์ถามก็สามารถตอบได้บ้าง และก็จดบันทึกความรู้เพิ่มเติมลงในสมุด ในช่วงทำกิจกรรมเขียนมายแม็บก็ช่วยเพื่อนๆในกลุ่มระดมความคิดหาข้อมูล และช่วยระบายดี

Evaluate friends : เพื่อนตั้งใจเรียน มีส่วนร่วมในการตอบคำถาม งานกิจกรรมกลุ่มมายแม็บทุกคนก็ช่วยกันทำ งานออกมาดีหลายกลุ่ม เขียนตัวหนังสือสวย ข้อมูลที่ถูกต้อง และยังมีบางกลุ่มที่ต้องปรับปรุงและหาข้อมูลเพิ่ม

Teacher Evaluation  : อาจารย์อธิบายได้ละเอียด แม้วันนี้จะไม่ได้นำเสนองาน แต่ก็ได้เห็นความพยายามอาจารย์ติดต่อลุงมาซ่อมเครื่องฉายนำเสนองาน 



วันพุธที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2561

Learning Record 2
Monday 22 January 2018
knowledge 

          การเรียนการสอนในวันนี้ จากสัปดาห์ที่ผ่านมา อาจารย์ได้มอบหมายงานให้แต่ละกลุ่มไปศึกษาหัวข้อของกลุ่มตนเองมา และวันนี้เพื่อนๆได้ออกมานำเสนองาน


กลุ่มที่  1 พัฒนาการและคุณลักษณะตามวัยของเด็กปฐมวัย

       เด็กสามารถพัฒนาตนเองตามพัฒนาด้านร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคมและสติปัญญาอย่างเหมาะสม  อยู่บนพื้นฐานคุณลักษณะพึงประสงค์พัฒนาการตามวัยของเด็กปฐมวัย ที่อยู่ในช่วงอายุ 3-6 ปี ซึ่งในแต่ละช่วงวัยสามารถที่จะเปรียบเทียบได้ว่าเด็กมีพัฒนาการที่ดีขึ้น เช่น การเคลื่อนไหวร่างกาย

อายุ 3 ปี
- กระโดดขึ้นลงอยู่กับที่ได้
 - รับลูกบอลด้วยมือและลำตัว
-เดินขึ้นบันไดสลับเท้าได้
- เขียนรูปวงกลมตามแบบได้
- ใช้กรรไกรมือเดียวได้


อายุ 4 ปี 
- กระโดดขาเดียวอยู่กับที่ได้
 - รับลูกบอลได้ด้วยมือทั้งสอง
 - เดินขึ้น - ลงบันไดสลับเท้าได้
- เขียนรูปสี่เหลี่ยมตามแบบได้
- ตัดกระดาษเป็นเส้นตรงได้
- กระฉับกระเฉงไม่ชอบอยู่เฉย

เด็กอายุ  5  ปี
- กระโดดขาเดียวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องได้
- รับลูกบอลที่กระดอนขึ้นจากพื้นได้ด้วยมือทั้งสอง
- เดินขึ้น - ลงบันไดสลับเท้าได้อย่างคล่องแคล่ว
- เขียนรูปสามเหลี่ยมตามแบบได้
- ตัดกระดาษตามแนวเส้นโค้งที่กำหนด
- ใช้กล้ามเนื้อเล็กได้ดี เช่น ติดกระดุม ผูกเชือกรองเท้า ฯลฯ
- ยืดตัว คล่องแคล่ว


กลุ่มที่ 2 ความสนในและความต้องการของเด็กปฐมวัย



            เด็กปฐมวัยเป็นวัยเริ่มต้นของชีวิตที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาความเป็นมนุษย์  การสร้างรากฐานที่ดีทั้งทางร่างกาย และจิตใจให้กับเด็กในวันนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะช่วงอายุแรกเกิด ถึง6 ปีเป็นระยะที่มีความสำคัญช่วงหนึ่งในการวางรากฐานคุณภาพชีวิตของเด็ก ด้วยเหตุที่เด็กปฐมวัยมีธรรมชาติและลักษณะเฉพาะที่แตกต่างไปจากบุคคลวัยอื่น ๆ 

ความต้องการของเด็กปฐมวัย

  • ความต้องการพื้นฐานทางกาย เพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่
  • ความต้องการความอิสระ ควบคู่ไปกับความต้องการพื้นฐานทางกาย
  • ความต้องการผลสัมฤทธิ์ มักจะต้องการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทั้งสิ้น
  • ความต้องการประสบการณ์ที่ท้าทาย 
  • ความต้องการมีเพื่อน เด็กปฐมวัยส่วนใหญ่ชอบอยู่ใกล้ชิดกับผู้อื่น 
ความสนใจของเด็กปฐมวัย 
             สิ่งที่เด็กปฐมวัยสนใจนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ตัวของเด็กนั่นเอง ที่เป็นเช่นนี้ เพราะเด็กปฐมวัยยังมีลักษณะของการยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง นอกจากนี้ ช่วงเวลาของความสนใจของเด็กปฐมวัยจะค่อนข้างสั้น โดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 2 – 3 นาที จึงเห็นได้ว่าเด็กในวัยนี้ชอบที่จะเปลี่ยนกิจกรรมอยู่ตลอดเวลา


กลุ่มที่ 3  การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย




           การเรียนรู้ หมายถึง การเปลี่ยนพฤติกรรมซึ่งเป็นผลมาจากประสบการณ์ที่คนเรามีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม หรือจากการฝึกหัด รวมทั้งการเปลี่ยนปริมาณความรู้ของผู้เรียน   มีองค์ประกอบ 3 อย่าง คือ 1) มนุษย์ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจาก “ไม่รู้” เป็น “รู้”  “ทำไม่ได้” เป็น “ทำได้” “ไม่เคยทำ” เป็น “ทำ” 2) การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมนั้นต้องเป็นไปอย่างถาวร 3) การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนั้น เกิดจากประสบการณ์การฝึกฝนและการฝึกหัด ไม่ใช่จากเหตุอื่นๆนอกจากนั้น

ทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย

1.ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของไวกอสกี้

กล่าวว่า เด็กจะเกิดการเรียนรู้  พัฒนาสติปัญญาและทัศนคติเมื่อมีการปฏิสัมพันธ์และทำงานร่วมกับผู้อื่น  หากเด็กต้องเผชิญกับปัญหาที่ท้าทายแต่ไม่สามารถคิดแก้ปัญหาโดยลำพัง  แต่ถ้าได้รับการช่วยเหลือแนะนำจากผู้ใหญ่หรือเพื่อนที่มีประสบการณ์มาก่อน  เด็กจะสามารถแก้ปัญหานั้นและจะเกิดการเรียนรู้ได้

2.ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของบรูเนอร์ 

        เชื่อว่า ครูสามารถจัดประสบการณ์ให้กับเด็กปฐมวัยเพื่อให้เด็กเกิดความพร้อมที่จะเรียนได้ โดยต้องคำนึงถึงทฤษฎีพัฒนาการว่าเป็นตัวเชื่อมระหว่างความรู้และการสอน กล่าวคือพัฒนาการจะเป็นตัวกำหนดเนื้อหาความรู้และวิธีการสอน   หรือกิจกรรมการเรียนการสอนต้องสอดคล้องกับพัฒนาการและความสามารถของเด็กเป็นหลัก จึงได้แบ่งขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัยออกเป็น 3 ขั้นตอน

         1.  ขั้นการเรียนรู้ด้วยการกระทำ
         2.  ขั้นการเรียนรู้ด้วยภาพและจินตนาการ 
         3.  ขั้นการเรียนรู้ด้วยสัญลักษณ์

3.ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจท์

           เพียเจท์  กล่าวถึง การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดจากการทำงานของโครงสร้างทางปัญญา เป็นวิธีที่เด็กจะเริ่มต้นด้วยความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับสิ่งแวดล้อม เพียเจท์ได้มองการเล่นเป็นกระบวนการพัฒนาทางสติปัญญา ซึ่งกระบวนการพัฒนาทางสติปัญญา และลักษณะของการเล่นนั้น จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน  เพียเจท์ได้แบ่งพัฒนาการทางสติปัญญาออกเป็น  4  ขั้น
           1.  ขั้นประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหว
           2. ขั้นความคิดก่อนปฏิบัติการ
           3. ขั้นปฏิบัติการคิดแบบรูปธรรม 
           4. ขั้นปฏิบัติการคิดแบบนามธรรม




กลุ่มที่ 4 รูปแบบการเรียนรู้นวัตกรรมการสอนแบบโครงการ



แนวคิดที่มีอิทธิพลต่อการสอนแบบโครงการ
             แนวคิดที่จะให้เด็กเรียนรู้ผานโครงการนั ่ ้นมีมานานนับศตวรรษ เริ่มจากความเคลื่อนไหวของ
นักการศึกษากลุ่มพิพัฒนนิยม (Progressive) ในประเทศสหรัฐอเมริกาช่วงศตวรรษที่ 19 – 20
จอห์น ดุย (John Dewey) ได้เขียนบทความและหนังสือหลายเล่มเกี่ยวกบการสร้างประสบการณ์ทาง
การศึกษา ที่จะช่วยส่งเสริมให้เด็กเกิดความตระหนักในชุมชนร่วมกน และได้นําโครงการเข้าไปใช้ ั
ในโรงเรียนทดลองที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ส่วนวิลเลี่ยม คิลแพทริก (William Kilpatrick) ได้ให้ความรู้
แก่บุคคลต่างๆ ที่ต่อมาได้เป็ นนักการศึกษา ถึงวิธีการใช้โครงการที่เกี่ยวข้องกบประสบการณ์ในชีวิต ั
จริง อันเป็ นรากฐานสําคัญทางการศึกษามากกวาการเตรียมตัวเด็กเพื่อชีวิตในอนาคต ่ (Diffil6,1996)
ในปี ค.ศ. 1943 ลูซี่ สปราค มิทเซลล์ (Lucy Spraque Mitchell) ได้นํานักศึกษาของวิทยาลัย
การศึกษาแบงกสตรีท ์ (The Bank Street College of Education) นครนิวยอร์ก ออกศึกษาสิ่งแวดล้อม
และได้สอนครูให้รู้จักวิธีการใช้โครงการวิธีสอนที่พัฒนาโดยวิทยาลัยการศึกษาแบงกสตรีทนี ์ ้มีส่วน
คล้ายคลึงอยางมากก ่ บการสอ ั นแบบโครงการ (Diffily, 1996)

             นอกจากนี้การสอนแบบโครงการทําให้หลายคนนึกถึงรายงานฉบับหนึ่งในประเทศอังกฤษ
ในช่วงปลายปี ค.ศ. 1960 ถึงต้นปี ค.ศ. 1970 ซึ่งมีชื่อวา ่ “ Plowden Report” บางครั้งนักการศึกษาชาว
อังกฤษจะเรียกอีกชื่อวา ่ “ หลักสูตรบูรณาการ ” “ การศึกษาอยางไม ่ ่เป็ นทางการ” เป็ นต้นใน
รายงานพลาวเดน (Plowden Report) ได้กล่าวเน้นอยางเด ่ ่นชัดวาการเรียนรู้ที่จะให้ผลนั ่ ้นต้องมาจาก
ความสนใจของผู้เรียนมากกวาความสนใจของครู ปรัชญาและแนวการปฏิบัติของพลาวเดนมีส ่ ่วนที่
คล้ายคลึงกนมากก ั บการเคลื่อนไหวของกลุ ั ่มพิพัฒนนิยมในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ.1920
และการศึกษาแบบเปิ ด (Open Education ) ในประเทศแถบอเมริกาเหนือคือให้ผู้เรียนมีความ
กระตือรือร้นที่จะร่วมในโครงการมีประสบการณ์ตรงกบสิ ั ่งแวดล้อม เรียนรู้จากการกระทํา เช่น
เดียวกบการเล ั ่นอยางเป็ นธรรมชาติของเด็กขณะเล ่ ่นสํารวจวัตถุสิ่งของ หรือมีปฏิสัมพันธ์กบบุคคลอื่น ั
(Katz and Chard, 1995)

            ในประเทศอิตาลี ช่วงเวลา 30 ปี ที่ผานมาครูโรงเรียนก ่ ่อนประถมศึกษาเมืองเรกจิโอ เอมิเลีย
ได้ประสบผลสําเร็จในการนําโครงการเข้าไปใช้กบเด็กปฐมวัย ั แต่ละลักษณะโครงการส่วนใหญ่โน้ม
เอียงไปทางการเรียนรู้บทบาทของภาษากราฟฟิ กค์(เขียนภาพเป็ นลายเส้น) และข้อมูลที่ขยายการเรียน
ของเด็กผานโครงการรวมทัั้งบทบาทของครูและพ่อแม่เด็กในงานโครงการ (Helm, 1996)
5ส่วนแคทซ์และชาร์ด (Katz and chard, 1995) ได้ให้เหตุผลของการที่ครูนําการสอนแบบ
โครงการมาใช้อยางแพร ่ ่หลาย ดังต่อไปนี้ อันเป็ นรากฐานสําคัญทางการศึกษามากกวาการเตรียมตัว 
เด็กเพื่อชีวิตในอนาคต (Diffily, 1996)

           1. งานวิจัยจํานวนมากที่เกี่ยวกับพัฒนาการเด็กและการเรียนรู้ในช่วง 20 ปี ที่ผานมานี้สนับสนุนการสอนแบบโครงการ เป็นวิถีทางที่เหมาะสมสําหรับการกระตุ้นและส่งเสริมพัฒนาการ
ทางด้านวิชาการของเด็ก
           2. ไม่มีสิ่งบ่งชี้วาการสอนแบบโครงการมีผลเสีย และเสี่ยงต่อการพัฒนาสติปัญญาหรือ
พัฒนาการทางด้านวิชาการของเด็ก
           3. การเสนอให้นําโครงการมาใช้ในการสอนเป็ นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตรเท่านั้น ช่วงเวลา
ส่วนใหญ่ที่เด็กเรียนรู้ตามหลักสูตรปฐมวัยศึกษาคือ การเล่นที่เป็ นตามธรรมชาติอยูแล้วเมื่อเด็กโตขึ้น
หลักสูตรจึงจะเพิ่มการสอนที่เป็ นทางการยิงขึ้น ดังนั้นโครงการจึงเหมาะกบหลักสูตรสําหรับเด็กปฐมวัยและเด็กประถม

ประโยชน์ของการสอนแบบโครงการ

         1. ช่วยให้เด็กมีโอกาสที่จะประยุกต์ใช้ทักษะที่มีอยู และเพิ่มความชํานาญในทักษะนั้นยิงขึ ่ ้น
         2. แสดงให้เห็นถึงความสามารถและความถนัดของเด็ก
         3. แสดงให้เห็นแรงจูงใจภายใน และความสนใจที่เกิดจากตัวเด็กในงานและกิจกรรมที่ทํา
         4. ส่งเสริมให้เด็กรู้จักตัดสินใจวาควรทําอะไร และผู้ใหญ ่ ่ยอมรับในความต้องการของเด็ก
            โดยที่เด็กมีความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเอง มีครูเป็ นผู้ให้คําแนะนํา และเด็กเป็ นผู้
ตัดสินใจลงมือทําด้วยตัวเด็กเอง (Katz, 1994 ;Katz and Chard, 1995)กระบวนการ
โครงการถือเป็ นตัวอยางที่ดีของการเรียนรู้ที่เต็มไปด้วยความหมายเหมาะก ่ บพัฒนาการเด็ก ั
เป็นการศึกษาอยางลึกในช ่ ่วงเวลาที่ขยายได้ตามความสนใจของเด็กแต่ละคน แต่ละกลุ่มยอย หรือแต ่ ่
ละชั้นและตามแต่หัวเรื่องที่ต้องการศึกษา ในหนังสือ Project Approach : A Practical Guide for
Teachers ของ Sylvia C. Chard (1992,1994) ได้กล่าวถึงลักษณะโครงสร้างของการปฏิบัติโครงการ
ไว้ 5 ข้อ คือ

           1. การอภิปรายกล่มุ ในงานโครงการครูสามารถแนะนําการเรียนรู้ให้เด็ก และช่วยให้เด็กแต่ละ
คนมีโอกาสแลกเปลี่ยนสิ่งที่ตนทํากบเพื่อน การพบปะสนทนากันในกลุ่มยอยหรือกลุ่มใหญ่
ทั้งชั้น ทําให้เด็กมีโอกาสที่จะอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกนและกัน
           2. การศึกษานอกสถานที่หรืองานในภาคสนาม ถือเป็นกระบวนการที่สําคัญของการทําโครงการ สําหรับเด็กปฐมวัยไม่จําเป็ นต้องเสียเงินเป็ นจํานวนมากเพื่อพาเด็กไปยังสถานที่ไกลๆ ประสบการณ์ในระยะแรกครูอาจพาไปศึกษานอกห้องเรียน เรียนรู้สิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่อยู่รอบบริเวณโรงเรียน เช่น ร้านค้า ถนนหนทาง ป้ ายสัญญาณงานบริการต่างๆ ฯลฯ จะช่วยให้เด็กเข้าใจโลกที่แวดล้อม มีโอกาสพบปะกบบุคคลที่มีความรู้เชี่ยวชาญในหัวเรื่องที่เด็กสนใจ ซึ่งถือเป็ นประสบการณ์เรียนรู้ขั้นแรกของงานศึกษาค้นคว้า
          3. การนําเสนอประสบการณ์เดิม เด็กสามารถที่จะทบทวนประสบการณ์ในหัวเรื่องที่ตนสนใจมี
การอภิปราย แสดงความคิดเห็นในประสบการณ์ที่เหมือนหรือแตกต่างกบเพื่อน รวมทั้งแสดงคําถามที่ต้องการสืบค้นในหัวเรื่องนั้นๆ นอกจากนี้เด็กแต่ละคนเสมือนเป็ นการพัฒนาทักษะเบื้องต้น ไม่วาจะเป็ นการวาดภาพ การเขียน การใช้สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ การเล่นบทบาทสมมติ และการก่อสร้างแบบต่างๆ
           4. การสืบค้น งานโครงการเปิ ดกว้างให้ใช้แหล่งค้นคว้าข้อมูลอยางหลากหลายตามหัวเรื่องที่ ่
สนใจ เด็กสามารถสัมภาษณ์พ่อแม่ผู้ปกครองของตนเอง บุคคลในครอบครัว เพื่อนนอก
โรงเรียน สามารถหาคําตอบด้วยการศึกษานอกสถานที่ สัมภาษณ์วิทยากรท้องถิ่
นที่มีความ
รอบรู้ในหัวเรื่อง อาจสํารวจวิเคราะห์วัตถุสิ่งของด้วยตนเอง เขียนโครงร่าง หรือใช้แวนขยาย
ส่องดูวัตถุต่างๆ หรืออาจใช้หนังสือในชั้นเรียนหรือในห้องสมุดทําการค้นคว้า
          5. การจัดแสดง ทําได้หลายรูปแบบอาจใช้ฝาผนังหรือป้ ายจัดแสดงงานของเด็ก เป็ นการ
แลกเปลี่ยนความคิด ความรู้ที่ได้จากการสืบค้นแก่เพื่อนในชั้น ครูสามารถให้เด็กในชั้นได้
รับทราบความกาวหน้าในการสืบค้นโดยจัดให้มีการอภิปราย หรือการจัดแสดง ทั้งจะเป็ นโอกาสให้เด็กและครูได้เล่าเรื่องงานโครงการที่ทําแก่ผู้มาเยี่ยมเยียนโรงเรียนอีกด้วย 7ลักษณะทั้ง 5 ประการของโครงสร้างที่กล่าวมานี้ เด็กจะเรียนรู้ในแต่ละระยะของงาน


โครงการ ซึ่งมีออยู่ระืยะ(Katz, 1994 Katz and Chard, 1995)

ระยะที่ 1 ทบทวนความร้และความสนใจเด็กเด็กและครูใช้เวลาส่วนใหญ่ในการอภิปรายเพื่อเลือกและปรับหัวเรื่องที่จะทําการสืบค้น

หัวเรื่องอาจเสนอโดยเด็ก ครู หรือครูและเด็กร่วมกน โดยใช้หลักในการเลือกหัวเรื่อง ดังนี้

1. เลือกหัวเรื่องที่เกี่ยวกบประสบการณ์ที่เด็กมีอยู ั ทุกวัน อย่างน้อยเด็กประมาณ ่ 2 – 3 คนควรจะคุ้นเคยกบหัวเรื่อง และจะช ่วยในการตั้งประเด็นคําถามเกี่ยวกบหัวเรื่อง

2. เลือกหัวเรื่องที่มีคุณค่าสําหรับการเรียนรู้ของเด็ก และมีแหล่งข้อมูลในท้องถิ่นเพียงพอที่จะให้เด็กทําโครงการ

3. ทักษะพื้นฐานทางการรู้หนังสือและจํานวน ควรบูรณาการอยูในหัวเรื่องที่ทําโครงการ รวมทั้งวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และภาษา เช่น การถามคําถาม การนับ การทํากราฟการสังเกต การสเกตซ์ภาพ การสังเกตด้วยการวาด ็ ภาพ การสร้าง การปั้น การประดิษฐ์

4. หัวเรื่องที่เลือกควรใช้เวลาทําโครงการได้อยางน้อย ่ 1 สัปดาห์และเหมาะที่จะทําการสํารวจ ค้นคว้าที่โรงเรียนมากกวาที่บ้านเมื่อได้หัวเรื่องแล้วครูควรเริ่มทําแผนที่ทางความคิด (mind map ) หรือใยแมงมุม ( Web ) เพื่อระดมความคิดร่วมกบเด็กในหัวเรื่องนะจัดแสดงแผนที่ทางความคิดที่ทําไว้ภายในชั้นเรียน ข้อมูลต่างๆที่ได้สามารถใช้ในการสรุป อภิปรายระหวางทําโครงการ และยังสามารถเชื่อมโยง ่ ไปยังหัวเรื่องยอยได้อีก นอกจากนี ่ ้ในช่วงอภิปรายระดมความคิดครูจะทราบวาเด็กมีประสบการณ์ใ ่ นหัวเรื่องเพียงใด ตามความเหมาะสมของวัย เช่น เด็กปฐมวัยอาจใช้การเขียนภาพ เล่นบทบาทสมมติ ฯลฯ ครูจะเป็นผู้ช่วยให้เด็กเสนอคําถามที่ต้องการสืบค้นหาคําตอบ จดหมายเกี่ยวกบหัวเรื่องที่จะสืบค้นถูก
ส่งไปยังบ้านของเด็ก ครูจะเป็ นผู้กระตุ้นให้พ่อแม่พูดกบเด็กเกี่ยวกบหัวเรื่อง เพื่อแลกเปลี่ยน ั
ประสบการณ์ ครุจะชี้แนะวิธีสืบค้นเพื่อให้เด็กแต่ละคนได้ทํางานตามศักยภาพโดยใช้ทักษะพื้นฐาน
ทางการสร้าง การวาดภาพ ดนตรี และบทบาทสมมติ



ระยะที่ 2 ให้โอกาสเด็กค้นคว้าและมีประสบการณ์ใหม่

             เป็นงานในภาคสนาม ประกอบด้วยการสืบค้นตามแหล่งข้อมูลต่างๆ ระยะนี้ถือเป็ นหัวใจของ
โครงการ ครูจะเป็ นผู้จัดหา จัดเตรียมแหล่งข้อมูลให้เด็กสืบค้น ไม่วาจะเป็ นของจริง หนังสือ วัสดุ ่
อุปกรณ์ต่างๆ หรือแม้แต่การออกไปศึกษานอกสถานที่หรือนัดหมายผู้เชี่ยวชาญ วิทยากรท้องถิ่น
เพื่อให้เด็กทําการสืบค้นสังเกตอยาง่ ใกล้ชิด และบันทึกสิ่งที่พบเห็นอาจมีการเขียนภาพที่เกิดจาการ
สังเกต จัดทํากราฟ แผนภูมิไดอะแกรม หรือสร้างแบบต่างๆ สํารวจ คาดคะเน มีการอภิปราย เล่น
บทบาทสมมติเพื่อแสดงความเข้าใจในความรู้ใหม่ที่ได้ (Katz,1994)


ระยะที่ 3 ประเมิน สะท้อนกลับ และแลกเปลี่ยนงานโครงการ
            เป็นระยะสรุปเหตุการณ์ รวมถึงการเตรียมการเสนอรายงานและผลที่ได้ในรูปของการจัด
แสดง การค้นพบ และจัดทําสิ่งต่างๆ สนทนา เล่นบทบาทสมมติหรือจัดนําชมสิ่งที่ได้จากการ
ก่อสร้าง ครูจะจัดให้เด็กได้แลกเปลี่ยนสิ่งที่ตนเรียนรู้กบผู้อื่นเด็กสามารถช่วยกนเล่าเรื่องการทํา
โครงการให้ผู้อื่นฟัง โดยจัดแสดงสิ่งที่เป็ นจุดเด่นให้เพื่อนในชั้นเรียนอื่น ครู พ่อแม่ ผู้ปกครอง และ
ผู้บริหารได้เห็น ครูจะช่วยเด็กเลือกวัสดุอุปกรณ์ที่จะนํามาแสดง ซึ่งการทําเช่นนี้เท่ากบชั ่วยให้เด็ก
ทบทวนและประเมินโครงการทั้งหมด ครูอาจเสนอให้เด็กได้จินตนาการความรู้ใหม่ที่ได้ ผานทาง 
ศิลปะ ทางละคร สุดท้ายครูนําความคิดและความสนใจของเด็กไปสู่การสรุปโครงการและอาจ
นําไปสู่หัวเรื่องใหม่ของโครงการต่อไป (Katz,1994)


บทสรุป
         การสอนแบบโครงการ เป็นการสอนวิธีหนึ่งในหลายๆวิธีที่มีอยู ทําให้เด็กเกิดการเรียนรู้ ช่วย
บูรณาการความรู้ ทักษะ และนําเสนออยางเป็ นทางการในห้องเรียน เด็กได้ประยุกต์และใช้สิ ่ ่งที่ตน
เรียนรู้ แกปัญหา และเปลี่ยนสิ่งที่ทราบ พัฒนาทักษะการทํางานร่วมกบผู้อื่นและท้าทายให้เด็กคิด ั
เป็ นการสนับสนุนพัฒนาการเด็กทางด้านสมอง เด็กมักจะมีคําถามของตนเองและสนใจที่จะเรียนรู้ใช้
แหล่งข้อมูลต่างๆ รวมทั้งตัวครูในการหาคําตอบ ครูควรจะรับฟังสิ่งที่เด็กพูดและสิ่งที่เด็กถามอยาง่
จริงใจ ผลสําเร็จของการทําโครงการจึงขึ้นอยูก่ บประสบการณ์เดิม สิ่งแวดล้อม ความสนใจและ
ความอยากรู้อยากเห็นของเด็กเป็ นอยางมาก การสอนแบบโครงการน่าจะเป็ นหนทางหนึ่งสําหรับครู
ที่จะสนับสนุนให้เด็กได้เรียนรู้อยางกระตือรือร้นอย ่ างมีความหมายต ่ ่อเด็ก และนําครูไปสู่การสอนที่มี
ประสิทธิภาพได้ทางหนึ่ง






เพื่อนๆแตะละกลุ่มนำเสนองาน





















Adopt
- การเรียนู้สำหรับเด็กปฐมวัยนั้นมีรูปแบบหลากหลายแบบ พ่อแม่ผู้ปกครองมักจะเน้นการอ่านออกเขียนได้ มากกว่าการเรียนไปตามพัฒนากการของเด็กปฐมวัย ซึ่งในปัจจุบันมีโรงเรียนที่เปิดสอนเด็กปฐมวัยจำนวนมาก นำความรูปแแบบการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยไปปรับใช้สอนที่โรงเรียน




Self Assessment : จดบันทึกเพิ่มเติม เมื่ออาจารย์อธิบายหรือยกตัวอย่าง
Evaluate friends : ตั้งใจดี  เมื่ออาจารย์ถามทุกคนก็ช่วยกันตอบ 
Teacher Evaluation  : อาจารย์อธิบายละเอียดดี ชอบที่อาจารย์มีถำถาม ทำให้เราได้ฝึกคิดวิเคราะห์อยู่บ่อยๆ





วันจันทร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2561


Learning Record 1

Monday 15 January 2018



knowledge 
      ปฐมนิเทศการเรียนวันแรก อาจารย์ได้อธิบายเรื่องที่จะทำการเรียนการสอนเรียนในภาคเรียนนี้ มีการสนทนาพูดคุยระหว่างอาจารย์กับนักศึกษา เกี่ยวกับโรงเรียนที่ไปสังเกตการสอน ว่ามีข้อเพิ่มเติมส่วนไหน ที่จะช่วยปรับให้ดียิ่งขึ้น คือเพลงสงบเด็ก ซึ่งเพื่อนๆก็ช่วยกันแชร์เพลงที่ได้จากการไปสังเกตในแต่ละโรงเรียน จากนั้นอาจารย์ได้แบ่งกลุ่มนักศึกษาเพื่อมอบหมายงานให้ไปศึกษาเนื้อหา เพื่อนำเสนอในสัปดาห์หน้า ดังนี้

กลุ่มที่ 1 พัฒนาการและคุณลักษณะตามวัยของเด็กปฐมวัย
กลุ่มที่ 2 การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
กลุ่มที่ 3 ความสนใจและความต้องการของเด็กปฐมวัย
กลุ่มที่ 4 รูปแบบการเรียนรู้นวัตกรรมการสอนแบบโครงการ
กลุ่มที่ 5 รูปแบบการสอนแบบมอนเตสเชอรี่

เพลงสงบเด็ก

1.เพลงนิ้วโป้งอยู่ไหน

นิ้วโป้งอยู่ไหน นิ้วโป้งอยู่ไหน อยู่นี่จ๊ะ อยู่นี่จ๊ะ
สุขสบายดีหรือ ไปก่อนละ สวัสดี
(แล้วร้องซ้ำใหม่ โดยเปลี่ยนเป็นนิ้วอื่น ๆ ต่อไป)


                                    2. นั่งตัวตรงๆ เอามือลงไว้ที่ตัก      เด็กๆที่น่ารักต้องรู้จักตั้งใจฟัง                    
ต้องรู้จักตั้งใจดู                   ต้องรู้จักฟังคุณครู


3. ปิดหูซ้ายขาว ปิดตาสองข้าง ปิดปากเสียบ้าง และนั่งสมาธิ


4. ปลาวาพ้นน้ำเป็นฝอย       ปลาเล็กปลาน้อยว่ายน้ำตามมา
    ปลาวาฬนับ 1 2 3 (ซ้ำ)     ใครว่ายตามมาปลาวาฬจับตัว


5. สวัสดีแบบไทยๆ       แล้วก็ไปแบบสากล
    สวัสดีทุกๆคน           แบบสากลและก็แบบไทย



คำคล้องจองสงบเด็ก


1.เอามือวางไว้ที่หัวช่างหน้ากลัวหน้ากลัวจริงๆ      

    เอามือวางไว้ที่ไหล่ช่างไฉไลไฉไลจริงๆ

    เอามือวางไว้ที่อกช่างตลกตลกจริงๆ                   

    เอามือวางไว้ที่ตักช่างน่ารักน่ารักจริงๆ







2. ตบมือแปะ แปะ      เลือกแพะเข้ามา



    แพะไม่มา               เอามือปิดปาก รูกซิป






บรรยากาศการเรียนการสอนในห้องปฏิบัติการปฐมวัย






Adopt
- การร้องเพลงหรือคำคล้องจองสงบเด็กจะต้องมีความหลากหลาย มีท่าทางปรระกอบ เพื่อให้เด็กสงบ มีสมาธิก่อนเข้าสู่การเรียนการสอน


 Self assessment สำหรับการเรียนวันนี้ก็เป็นวันแรก ก็ตั้งใจฟังอาจารย์อธิบายเรื่องต่างๆ ก็รู้ว่าเทอมนี้มีการปฏิบัติ ซึ่งเราต้องเตรียมพร้อมให้ดีกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะถือว่าเป็นช่วงสุดท้าย ที่เราสามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์ก่อนที่จะไปฝึกสอนในเร็วๆนี้

Evaluate friends : วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรก แต่เพื่อนก็มากันเรียนค่อนข้างเยอะ ทุกคนตั้งใจฟังอาจารย์ดี ช่วงที่อาจารย์ถาม ก็มีการสนทนาโต้ตอบดี

Teacher Evaluation : อาจารย์เตรียมความพร้อม ได้เอกสารมาแจกนักศึกษา อาจารย์เรื่องที่จะเรียนได้อธิบายดีค่ะ